บังเอิญช่วงเวลานั้น คุณหมอมงคล ณ สงขลา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขในขณะนั้น ต้องไปเปิดการประชุมที่โรงพยาบาลที่หลวงตาพวงพำนักรักษาตัวอยู่พอดี จึงได้มีโอกาสแวะเยี่ยมอาการของหลวงตา เมื่อคุณหมอมงคลได้มาเยี่ยมและได้ทราบว่าอาการของท่านหนักมาก จึงได้ถวายพวงมาลัย เพื่อขอให้หลวงตาพวงท่านโปรดเมตตาดำรงขันธ์ต่อ เพื่อเป็นร่มโพธิร่มไทรให้กับลูกหลาน หลังจากนั้นคุณหมอมงคลก็ได้เป็นธุระจัดการย้ายองค์หลวงตาพวงไปรักษาต่อกับแพทย์เฉพาะทางที่เชี่ยวชาญที่โรงพยาบาลศิริราชในวันนั้นทันที
เมื่อมาถึงที่โรงพยาบาลศิริราช แพทย์ที่ทำการรักษาได้ตรวจดูอาการของท่านอย่างละเอียด พบว่าท่านเป็นมะเร็งที่ถุงน้ำดี อีกทั้งยังมีปัญหาเส้นเลือดในสมองตีบ เบาหวาน ต่อมหมวกไตไม่ทำงาน หัวใจเต้นไม่เป็นปกติ คณะแพทย์ได้กราบเรียนท่านว่า
“ขออนุญาตดูแลรักษาท่าน อาการของท่านเปรียบเสมือนเรือเพียบน้ำแล้ว แต่พวกกระผมจะพาไปให้ไกลที่สุด”
เมื่อท่านรับทราบความตั้งใจของคณะแพทย์ที่รักษาแล้ว ท่านก็กล่าวว่า
“อาการของหลวงตาเวลานี้ เหมือนหลวงตาเป็นลูกฟุตบอล มีหมออยู่ข้างหนึ่ง พญามารอยู่อีกข้างหนึ่ง แล้วแต่ว่าฝ่ายไหนจะแข็งแกร่ง ยิงลูกเอาชนะกันได้ก่อนกัน มารบางครั้งก็แฝงมากับหมอ แต่หมออาจไม่รู้ เช่นเวลาใช้เข็มฉีดยา เข็มให้น้ำเกลือให้สารอาหาร จนแขนเป็นรูเป็นจ้ำ นั้นแหละบริวารมารมาเบียดเบียน”
ท่านยังเล่าอาการของท่านให้กับลูกศิษย์ลูกหาที่มาเยี่ยมเยียนท่านว่า “โรคที่ท่านเป็นนั้นเหมือนโดนตัดเสบียงอาหารทั้งหมด เมื่อหมดเสบียงโดนตัดยังไงก็ไปไม่รอด เหมือนต้นไม้ที่ที่ยืนต้นตาย ไม่สามารถเจริญเติบโตต่อไปได้อีก”
เมื่อลูกศิษย์ลูกหาได้ขออารธนานิมนต์ให้ท่านดำรงขันธ์อยู่นานๆ แต่ท่านก็นิ่งเฉย ไม่พูดจาอย่างใด
ช่วงที่รับการรักษาที่โรงพยาบาลศิริราช อาการของท่านเริ่มดีขึ้น ตามลำดับ ระหว่างที่ไม่รับยา ท่านก็เดินทางกลับยโสธร เพื่อตรวจดูความก้าวหน้าของการสร้างมหาวิทยาลัยสงฆ์ที่ทุ่งแต้ แม้ว่าลูกศิษย์จะขอร้องทัดทานให้ท่านพักอยู่ที่กรุงเทพฯ ท่านก็ไม่ยอม เป็นตัวอย่างที่แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่น ตั้งใจ แม้ร่างกายจะเจ็บป่วยเพียงใด ท่านก็ยังดูแลทุ่งแต้ทุกครั้งที่ท่านกลับมาถึงยโสธร อย่างไม่เห็นแก่ความเหน็ดเหนื่อย
ระหว่างการเข้าไปรักษาตัวครั้งสุดท้ายที่โรงพยาบาลศิริราช ประมาณกลางเดือนมีนาคม พ.ศ. 2552
วันหนึ่งหลวงตาพวง ท่านเล่าให้ลูกศิษย์ใกล้ชิดฟังว่า ท่านเกิดนิมิต ว่า
“มีคนนำเกวียน 2 เล่มมารับ เกวียนเก่า กับ เกวียนใหม่ คนที่มารับก็ถามว่าจะขึ้นเล่มไหน ท่านก็ไม่ตอบไม่ว่ากะไร” และได้เล่าเรื่องนี้ให้ลูกศิษย์ฟัง
และแล้วสิ่งที่ทุกคนเป็นกังวลก็มาถึง เมื่อได้ทราบจากแพทย์ที่ดูแลท่านว่า ไม่สามารถจะให้ยาใดๆ เพื่อรักษาท่านได้แล้ว เนื้อร้ายไม่ตอบสนองต่อการรักษา ส่วนยาชนิดใหม่คณะแพทย์ได้ลองให้ ก็ไม่ตอบสนองและไม่สามารถให้ต่อได้ เพราะมีผลข้างเคียงจากยามากเกินไป ท่านจึงหยุดรับยา ระหว่างนั้นบรรดาลูกศิษย์ก็พยายามหาวิธีการรักษาอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นการแพทย์ทางเลือก แต่ท่านก็บอกว่า เอาไว้ก่อน ไว้รอเลิกรักษาโดยแพทย์แผนปัจจุบันแล้วจึงจะใช้ และเตรียมที่จะกลับไปพักรักษาที่วัดศรีธรรมารามต่อไป
ครั้งนั้นท่านยังบอกว่า “ออกจากโรงพยาบาลครั้งนี้ ท่านจะไม่กลับมาอีก” แล้วท่านก็มิได้กลับมาที่โรงพยาบาลศิริราชแห่งนี้อีกจริงๆ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น