เมื่อวันที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2550 ระหว่างที่หลวงตาพวงท่านรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลวิชัยยุทธนั้น เจ้าหน้าที่ได้มาเจาะเลือดหลวงตาเพื่อไปตรวจ โดยเจาะเลือดหลวงตาไว้ 2 หลอด ประมาณเวลา 18:00 น. เจ้าหน้าที่ห้องชันสูตรต่างตื่นเต้นตกใจ ที่เกิดความอัศจรรย์ขึ้นที่หลอดเลือดของหลวงตา โดยมีแสงสีขาวพุ่งออกมาจากหลอดเลือดของท่าน เจ้าหน้าที่ห้องชันสูตรจึงวิ่งออกมาบอกแพทย์ที่ดูแลหลวงตาให้ทราบ
ความทราบถึงพระภิกษุที่คอยอุปัฎฐากดูแลหลวงตาและบรรดาลูกศิษย์ที่อยู่ใกล้ชิด จึงได้กราบเรียนถามหลวงตาพวงถึงเรื่องดังกล่าว หลวงตาท่านยิ้มๆและตอบว่า “บ่แม่นสิเป็นพระธาตุ บ่” หรือหมายถึง ไม่ใช่โลหิตกลายเป็นพระธาตุหรือ
เช้าวันรุ่งขึ้น วันที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2550 โลหิตของหลวงตาพวงที่อยู่ในหลอดดังกล่าวได้กลายเป็นพระธาตุจริงๆ มีลักษณะสีแดงเข้ม รูปทรงสี่เหลี่ยม คล้ายเม็ดทับทิม จำนวน 9 องค์ มีความงดงามยิ่งนัก แพทย์ที่รักษาหลวงตาจึงได้กราบขอพระธาตุจากโลหิตของหลวงตาพวงไว้ที่โรงพยาบาลวิชัยยุทธ เพื่อความเป็นสิริมงคลต่อไป แพทย์และเจ้าหน้าทีโรวพยาบาลได้มากราบเรียนให้หลวงตาทราบ หลวงตาท่านก็ไม่พูดอะไร ได้แต่ยิ้มๆ พระธาตุจากโลหิตของหลวงตาในวันนั้นยังประดิษฐานไว้ที่โรงพยาบาลวิชัยยุทธ เพื่อให้ประชาชนได้สักการะบูชา
ส่วนโลหิตอีกหนึ่งหลอดนั้น หลังจากที่เจ้าหน้าที่ได้นำไปตรวจวินิจฉัยแล้ว ทางพระอุปัฏฐากและลูกศิษย์ที่ติดตาม ได้ขอเจ้าหน้าที่กลับคืนมา เพื่อเก็บรักษาไว้ และได้นำไปเก็บรักษาไว้ที่วัดสิริกมลาวาส หรือวัดใหม่เสนา ต่อมาโลหิตในหลอดเลือดดังกล่าวก็กลายเป็นธาตุที่มีลักษณะคล้ยกัลเม็ดทับทิมเช่นเดียวกัน
อย่างไรก็ตาม หลวงตาพวงได้สั่งลูกศิษย์ที่ใกล้ชิดว่า อย่าไปบอกใคร บรรดาลูกศิษย์ทั้งหลายก็ไม่ได้เผยแพร่เรื่องนี้ไปให้ใครทราบ มีแต่เพียงลูกศิษย์ที่ใกล้ชิดเท่านั้น เพราะเกรงว่า หากมีประชาชนทราบข่าวเป็นจำนวนมาก จะมากราบหลวงตา ซึ่งกำลังอาพาธอยู่ จะสร้างความลำบากให้กับองค์ท่าน
โลหิตสามารถกลายเป็นพระธาตุได้ ทั้งๆที่หลวงตาท่านยังมีชีวิตอยู่นั้น ยังความอัศจรรย์ใจให้กับผู้ที่พบเห็นเป็นอย่างยิ่ง ลูกศิษย์ใกล้ชิดมีโอกาสสนทนากับท่าน จึงกราบเรียนถามท่านว่า “ทำไม โรงพยาบาลวิชัยุทธ จึงได้พระธาตุ” หลวงตาตอบว่า “เขาขอ ก็ให้เขา”
นี่แสดงให้เห็นถึงความเมตตาของหลวงตาที่ไม่มีประมาณจริงๆ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น