หลวงตาพวง สุขินทริโย

วันอาทิตย์ที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2553

28. เริ่มอาพาธด้วยโรคมะเร็ง

เดือนกันยายน ปี พ.ศ. 2550 หลวงตาพวง เริ่มมีอาการปวดท้องเป็นบางครั้ง มีอาการท้องอืดบ้าง บางทีหลังจากฉันแล้วก็มีอาการอาเจียน แต่สุขภาพก็ยังแข็งแรงดี ลูกศิษย์ลูกหาทั้งหลายก็มิได้สงสัยอะไร เวลานั้นได้มีพิธีเททองหล่อ พระพุทธชินราช ขนาดหน้าตัก 80 นิ้ว ที่วัดศรีธรรมาราม ถวายแด่หลวงตาพวงเพื่อเป็นพระประธานประจำมหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัยศาสนศาสตร์ วิทยาเขตยโสธร ต.ทุ่งแต้ อ.เมือง จ.ยโสธร ช่วงนั้นหลวงตาดูผอมลง ลูกศิษย์คิดว่าท่านคงตรากตรำทำงานหนักเพราะต้องไปบุกเบิกสร้างวิทยาลัยสงฆ์ที่ทุ่งแต้

ผู้เขียนจำได้ว่าได้เรียนถามหลวงตาพวง “หลวงตาครับ สุขภาพหลวงตาเป็นอย่างไร แข็งแรงดีหรือเปล่า” ท่านตอบว่า “พออยู่ แต่มีอาการปวดท้องบ้าง” แต่บรรดาลูกศิษย์ลูกหาก็มิได้นึกถึงว่าจะเป็นอาการเริ่มต้นของโรคร้าย ช่วงเวลานั้นท่านก็เริ่มมีการฝ่ามือลอก แพ้สารเคมีที่สัมผัส จนต้องสวมถุงมือเวลาฉันอาหาร แต่ก็ยังยังความกังวลให้ลูกศิษย์ลูกหาพอสมควร

เดือน ตุลาคม พ.ศ. 2550 ท่านมีกิจนิมนต์ที่กรุงเทพฯพอดี บรรดาลูกศิษย์ใกล้ชิดได้นำท่านไปตรวจเช็คร่างกายที่โรงพยาบาลเอกชน ในกรุงเทพฯ แต่ก็ไม่พบความผิดปกติร้ายแรงแต่อย่างใด แพทย์คิดว่าท่านมีอาการของโรคกระเพาะธรรมดา

เดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2550 หลวงตาพวงท่านเริ่มมีอาการปวดท้องมากขึ้น จึงได้นำท่านไปตรวจที่โรงพยาบาลเอกชนอีกแห่งหนึ่ง แพทย์ได้ให้นอนพักในโรงพยาบาลเพื่อตรวจร่างกายต่างๆให้แน่ใจ ตอนนั้นผลการวินิจฉัยบอกว่าท่านเป็นมะเร็งบริเวณตับอ่อน ซึ่งในทางการแพทย์ มะเร็งตับอ่อนนั้นค่อนข้างรุนแรง มีการดำเนินโรคค่อนข้างเร็ว และจะทำให้มีอาการปวดท้องอย่างมาก คณะแพทย์ได้กราบเรียนท่านว่า ท่านอาจอยู่ได้เพียง 3 เดือนเท่านั้น

ระหว่างที่รักษาตัวที่โรงพยาบาล แพทย์ได้รอสังเกตอาการ และตรวจวินิจฉัยเพิ่มเติมนั้น ท่านก็มีอาการเส้นเลือดในสมองตีบ หัวใจเต้นไม่เป็นปกติ และต่อมหมวกไตไม่ทำงาน เริ่มพูดไม่ชัด เดินไม่ถนัด แพทย์จึงถวายการรักษาด้วยวิธีฝังเข็ม อาการพูดไม่ชัดเริ่มดีขึ้นบ้าง แต่ทว่าท่านยังมีอาการปวดท้องอย่างมาก อ่อนเพลีย ไม่มีแรง เพราะไม่สามารถฉันอาหารได้ มีอาจียนตลอดเวลา มีเพียงสารอาหารที่ได้จากน้ำเกลือเท่านั้น

แม้ว่าจะเจ็บปวดที่ธาตุขันธ์เพียงใด หลวงตาพวงท่านก็ไม่ได้บ่นให้ใครฟัง หากแต่ท่านยังพยายามที่นั่งสมาธิ เดินจงกรมอยู่ตลอด แม้เดินเองไม่ไหวก็ให้ลูกศิษย์พยุงเดิน ทั้งยังสอนให้กับลูกศิษย์ได้เห็นธรรม ให้เห็นความทุกข์ที่เกิดจากสังขารนั้นไม่เที่ยง ไม่มีใครจะฝืน ความแก่ ความเจ็บ และความตาย ไปได้ ท่านจึงสอนให้ลูกศิษย์ที่คอยดูแลให้พากันเร่งทำความเพียร และสอนวิธีปฏิบัติสมาธิภาวนาให้อีกด้วย

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น