หลวงตาพวง สุขินทริโย

วันอาทิตย์ที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2553

27. สร้างมหาวิทยาลัยสงฆ์ ที่ทุ่งแต้

เดิมมหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัยศาสนศาสตร์ สาขายโสธร ที่ขึ้นตรงต่อ จังหวัดร้อยเอ็ด ตั้งอยู่ภายในวัดศรีธรรมาราม โดยมีหลวงตาพวงเป็นองค์อุปธรรม ต่อมาในปี พ.ศ. 2544 ได้เปิดโอกาสให้ประชาชนเข้าศึกษาต่อในระดับอุดมศึกษาทั้งอนุปริญญาและปริญญาตรี ทั้งหลักสูตรภาคปกติและภาคสมทบ ทำให้มีนักศึกษาเพิ่มขึ้นกว่า 1,500 คน สถานที่ที่ใช้ในการเรียนการสอนภายในวัดศรีธรรมารามและอาคารเรียนในโรงเรียนวัดศรีธรรมารามนั้นเริ่มแคบลงไป

หลวงตาพวงท่านได้เห็นปัญหาดังกล่าว ท่านจึงได้หาสถานที่ใหม่ที่จะใช้ในการก่อสร้างมหาวิทยาลัยสงฆ์แห่งนี้ เดิมทีแรกมีที่ว่างของราชพัสดุจำนวน 50 ไร่ ที่ บ.หนองคู ต.หนองคู แต่เมื่อไปติดต่อ เจ้าหน้าที่ที่รับผิดชอบจะให้เช่า หลวงตาท่านไม่ต้องการเช่า ต้องการให้เบ็ดเสร็จ จึงบอกยกเลิกที่ดังกล่าว ต่อมาเพียงไม่กี่วัน นายนิพนธ์ บุษบารังษี มีที่ดินมรดกไม่ได้ใช้สอยอะไร ประมาณ 8 ไร่เศษ จึงได้ถวายให้หลวงตาสร้างวัด ต่อมามีญาติโยมที่มีบริเวณนั้นได้ขายที่ให้ประมาณ 30 ไร่เศษ รวมเป็น 41 ไร่เศษ

เดือนมิถุนายน ปี พ.ศ. 2549 ท่านได้ให้พระภิกษุ 2 รูปเข้าไปอยู่พร้อมกับอุปกรณ์ในการสร้างกุฏิ และศาลาอีก 1 หลัง เพื่อเตรียมบุกเบิกให้เป็นมหาวิทยาลัยสงฆ์ นอกจากนั้นหลวงตาพวงยังได้เล็งเห็นถึงอนาคตข้างหน้าว่าจะต้องมีทั้งพระและฆราวาสจำนวนมากเข้ามาใช้สถานที่แห่งนี้ ท่านจึงวางแผนเพื่อจะขุดสระเพื่อให้เป็นแหล่งน้ำไว้ใช้ในอนาคต นอกจากนั้นดินที่ได้จากการขุดสระก็นำมาใช้ในการถมที่บริเวณดังกล่าวได้อีกด้วย นั่นเป็นการมองการณ์ไกลของหลวงตาพวงยิ่งนัก

ต่อมาในปี พ.ศ. 2550 ที่ประชุมของสภามหาวิทยาลัยได้อนุมัติให้ยกฐานะศูนย์การศึกษายโสธร เป็นวิทยาลัยศาสนศาสตร์ยโสธร มีฐานะเป็นวิทยาลัยขึ้นตรงต่อส่วนกลาง เช่นเดียวกับจังหวัดร้อยเอ็ด ดังนั้นสถานที่บริเวณทุ่งแต้ที่หลวงตาพวงท่านเตรียมไว้ก่อนหน้านี้จึงรองรับการเป็นมหาวิทยาลัยสงฆ์ วิทยาเขตยโสธร ได้ทันที ทำให้กุลบุตรทั้งหลายในจังหวัดยโสธร และจังหวัดใกล้เคียงทั้งอำนาจเจริญและมุกดาหาร มีสถานที่เรียนใกล้บ้าน ไม่ต้องไปเรียนที่ไหนไกลๆ

ต่อมาหลวงตาได้ซื้อที่ดินเพิ่มเติมอีกประมาณ 20 ไร่ ทำให้มีสถานที่เพียงพอ หลวงตาพวงท่านได้แบ่งพื้นที่ออกเป็น 2 ส่วน ส่วนที่หนึ่ง คือส่วนที่เป็นมหาวิทยาลัยสงฆ์ ที่ท่านให้เฉพาะที่ดิน ส่วนการก่อสร้างอาคารสถานที่ต่างๆ นั้นมีงบประมาณของส่วนราชการมารองรับอยู่แล้ว ประมาณ 18 ล้านบาท ซึ่งหลวงตานั่นแหละที่เป็นผู้ที่ไปของบประมาณมาให้

อีกส่วนนั้นท่านต้องการให้เป็นที่พักของสงฆ์ เพราะท่านเห็นว่า เมื่อสร้างมหาวิทยาลัยแล้ว มีพระสงฆ์มาเรียน ถ้าจะพักในมหาวิทยาลัยก็ไม่เหมาะ จึงต้องแบ่งที่ส่วนหนึ่งไว้ให้สงฆ์ เพื่อสร้างเป็นสถานที่พักของสงฆ์ และที่บริเวณดังกล่าวท่านก็สร้างวิหารเพื่อจะได้ใช้ประโยชน์อเนกประสงค์ รวมทั้งใช้ลงอุโบสถได้อีกด้วย ทั้งนี้ท่านได้ขอให้คุณอมราและคุณอดิศร พวงชมภู เป็นเจ้าภาพดูแลให้แล้วเส็จ ซึ่งทั้งสองก็รับเป็นภาระดูแลให้จนเป็นที่เรียบร้อย

ในตอนเริ่มต้นก่อนที่จะเห็นเป็นรูปเป็นร่างนั้น เหล่าศิษยานุศิษย์ ได้ทราบว่าหลวงตาจะเริ่มสร้างมหาวิทยาลัยสงฆ์ โดยท่านได้มอบกุฏิผ้า (เต๊นท์) หนึ่งหลังให้กับพระลูกศิษย์สองรูปให้เดินทางมาจำพรรษาที่นั่น เพื่อจะสร้างเป็นมหาวิทยาลัยสงฆ์ ซึ่งในความเป็นจริงจะต้องใช้งบประมาณอีกมหาศาล ลูกศิษย์ทั้งหลายก็เกิดความสงสัยในใจว่า จังหวัดยโสธรซึ่งเป็นจังหวัดที่ยากจน จะเอาอะไรมาสร้างสิ่งที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้ได้

คำตอบโดยนัยของหลวงตาก็คือ “เมื่อตั้งใจปฏิบัติแน่วแน่ สะสมจนเกิดบารมีแล้ว เงินก็จะชวนกันมาเอง”

คำตอบนั้นลูกศิษย์ทุกคนก็รับรู้ แต่ก็ยังไม่เข้าใจ เพราะในโลกของฆราวาสนั้น เมื่อมี “เงิน” แล้วต่างหาก จึงเอาเงินนั้นมาใช้ในการสร้างบารมี

หนึ่งปีผ่านไป กุฏิจากไม้เก่าๆ ของชาวบ้าน เกิดขึ้น 6 หลัง อิฐ หิน ปูน ทราย มีเจ้าภาพส่งเข้ามาร่วมบุญอย่างไม่ขาดสายทั้ง โรงฉัน ศาลา ห้องน้ำ ห้องส้วม ตลอดจน พระประธานและวิหารราคาเป็นสิบล้านบาท ก็ผุดขึ้นมาเป็นลำดับดั่งเนรมิตร เงิน ที่เกิดจากแรงศรัทธาก็มาเองอย่างไม่ขาดสาย

บารมี ที่ไม่มีใครมองเห็นนี่แหละ ที่หลวงตาท่านบอก หลวงตาท่านสอนและทำให้เห็นเป็นตัวอย่าง ว่าข้อวัตรปฏิบัติทั้งหลายที่หลวงตาพวงท่านปฏิบัติ คือที่มาของบารมี ซึ่งเป็นสิ่งก่อเกิดของความศรัทธา อันเป็นที่มาของสิ่งก่อสร้างและถาวรวัตถุทั้งหลาย ที่เราเห็นอย่างประจักษ์ ณ ทุ่งแต้ แห่งนี้

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น