ช่วงเดือนมกราคม 2552 พระเทพสังวรญาณ (หลวงตาพวง สุขินทริโย) ท่านได้บอกกับลูกศิษย์ลูกหาว่าในเดือนมีนาคม 2552 ให้ทุกคนพยายามทำตัวให้ว่าง ท่านจะพาไปทำบุญใหญ่ ที่วัดศิริดำรงวนาราม หรือ วัดป่าบ้านท่าสองคอน อ.พรรณานิคม จ.สกลนคร ซึ่งท่านจะเป็นองค์ประธานในการทอดผ้าป่าครั้งนี้เอง วัดแห่งนี้มีความสำคัญเพราะเป็นวัดแรกที่ท่านได้บุกเบิกร่วมกับพระอาจารย์บุญช่วย ธมมวโร พระอาจารย์ของท่าน ขณะยังเป็นสามเณรเมื่อ 60 ปีก่อน และยังพำนักอยู่ในช่วง 2 พรรษาแรก และในพรรษาต่อมาจึงได้เข้าไปจำพรรษากับหลวงปู่มั่นที่วัดป่าหนองผือ อันเป็นพรรษาสุดท้ายขององค์หลวงปู่มั่น
บ้านท่าสองคอนแห่งนี้ ยังเป็นสถานที่ที่มีบุญคุณต่อท่านอย่างหาที่สุดมิได้ ญาติโยมในบ้านท่าสองคอนได้เป็นเจ้าภาพอุปสมบท ถวายผ้าไตรให้ท่านตอนบวชเมื่อ 60 ปี ก่อน ท่านก็ยังระลึกถึงบุญคุณอันนี้เสมอ เพราะทำให้ท่านได้พบเห็นธรรมอันสูงสุด มีโอกาสสืบทอดและเผยแผ่พระพุทธศาสนา ตามรอยองค์พระตถาคตเจ้า จวบจนเข้าถึงแห่งวาระสุดท้าย เป็นประจำทุกๆปีหลวงตาพวงจะต้องหาโอกาสกลับมาที่นี่เพื่อเยี่ยมเยียนญาติโยมที่บ้านแห่งนี้มิได้ขาด เว้นแต่ในปีที่ผ่านมาท่านอาพาธหนัก ไม่สามารถเดินทางมาได้ นี่จึงนับเป็นตัวอย่างที่ครูบาอาจารย์ได้ทำเป็นตัวอย่าง สอนให้เห็นถึงความกตัญญูกตเวทีต่อผู้มีพระคุณอย่างสุดซึ้ง แม้นเพียงช่วงเวลาหนึ่งก็ตาม และคงไม่มีใครนึกว่าการจาริกครั้งนี้จะเป็นการเดินทางครั้งสุดท้ายในชีวิตของท่าน
หลวงตาพวงเริ่มมีอาการอาพาธด้วยโรคมะเร็งในท่อน้ำดี ในเดือนพฤศจิกายน 2550 นอกจากนั้นยังมีปัญหาเส้นเลือดในสมองตีบ เบาหวาน ต่อมหมวกไตไม่ทำงาน หัวใจเต้นไม่ปกติ กระดูกสันหลังพรุน ในช่วงหลังๆ เริ่มมีอาการท้องบวม รวมทั้งโลหิตจางด้วย ท่านรับการรักษาที่โรงพยาบาลศิริราช ได้รับยาเคมีบำบัด และอื่นๆ จนในที่สุดปลายเดือนมีนาคม อาการของโรคกำเริบมากจนสุดความสามารถ คณะแพทย์ที่ทำการรักษาตัดสินใจไม่ถวายยาใดๆต่อ เหลือเพียงการรักษาตามอาการเท่านั้น ท่านได้เดินทางออกจากโรงพยาบาลศิริราชเพื่อกลับวัดศรีธรรมาราม จ.ยโสธร ในวันที่ 24 มีนาคม 2552
วันที่ 27 มีนาคม 2552 ที่วัดศรีธรรมาราม จ.ยโสธร ก่อนการเดินทางครั้งสุดท้าย 1 วัน หลวงตาพวงท่านมีอาการอ่อนเพลียค่อนข้างมาก ฉันอาหารได้น้อย สะอึกตลอดและอาเจียนเป็นช่วงๆ ไม่สามารถให้น้ำเกลือได้เพราะเส้นเลือดของท่านบาง และแตกเกือบหมด บรรดาลูกศิษย์ได้พยายามถวายน้ำแกลือแร่ ยาแก้สะอึกและน้ำปานะ เพื่อให้ท่านพอมีกำลัง ในช่วงบ่ายวันนั้นได้มีการประชุมคณะแพทย์โรงพยาบาลยโสธร เพื่อเตรียมการดูแลท่านหลังจากกลับมาจากสกลนคร เพราะท่านมีดำริที่จะไม่ไปรักษาตัวต่อที่โรงพยาบาลศิริราชแล้ว หลังจากเสร็จสิ้นการประชุมคณะแพทย์ทั้งทีมได้มาขอโอกาส เพื่อรักษาหลวงตา และได้ตรวจประเมินอาการของท่าน ได้พยายามให้น้ำเกลือเพิ่มเติม ท่านยังมีอาการอ่อนเพลียมาก จนกระทั่ง 03:00 น. ได้ถวายยาแก้ปวดอย่างแรงกับท่าน ทำให้ท่านพักได้จนกระทั่งตอนเช้า ท่านยังถามว่า “เมื่อคืนให้ยาอะไร จำวัตรได้สบาย”
รุ่งเช้าวันที่ 28 มีนาคม 2552 หลวงตาตื่นจากจำวัตร มีอาการอ่อนเพลีย แต่ดูสดชื่นขึ้น ฉันอาหารอ่อน รวมทั้งน้ำปานะได้เล็กน้อย หลังจากนั้นท่านได้สั่งงานทั้งพระและโยม ให้เตรียมข้าวของอุปกรณ์ต่างๆไปที่บ้านท่าสองคอน รวมทั้งมอบหมายให้พระอาจารย์ธนันชัย ฐานิสโร ดูแลรักษากุฏิของท่าน จนกระทั่งเวลา 08:30 น. ลูกศิษย์ลูกหารับประทานอาหารเช้าเสร็จ ท่านก็ลุกออกจากห้อง มีญาติโยมที่ไม่สามารถไปสกลนครได้ก็มาร่วมทำบุญและส่งท่าน หลวงตาพวงท่านได้ออกเดินทางไป อ.พรรณานิคม โดยผ่านทาง จ.มุกดาหาร เพื่อฉันเพลที่ร้านอาหารเจ๊หมวย ลูกศิษย์ใกล้ชิดอีกคนหนึ่งที่นั่น และยังมีผู้ว่าราชการจังหวัดมุกดาหารให้การต้อนรับ และครั้งนั้นคืออาหารมื้อสุดท้ายที่ท่านฉัน
หลังจากนั้นได้ออกเดินทางต่อไปยังจังหวัดสกลนคร ระหว่างทางท่านมีอาการปวดท้องและสะอึก เป็นพักๆ ท่านได้ใช้กระโถนกดที่บริเวณท้อง เพื่อบรรเทาอาการปวด ตลอดทาง ผู้เขียนได้ถวายยาแก้อาเจียน ยาแก้ปวดอย่างแรง ท่านฉันน้ำเกลือแร่ได้ดี พักผ่อนได้ระหว่างการเดินทาง เมื่อเดินทางเข้าสู่ จ.สกลนคร ท่านได้สั่งให้เปลี่ยนเส้นทางการเดินทาง โดยให้ไปที่วัดป่าสุทธาวาส เพื่อไปยังพิพิธภัณฑ์หลวงปู่มั่น และเดินทางต่อไปยังวัดป่าอุดมสมพร เพื่อกราบพระเจดีย์หลวงปู่ฝั้น มีเพียงรถไม่กี่คันที่ได้ตามไปทัน ระหว่างการเดินทางท่านยังชี้ให้ลูกศิษย์ (พระอาจาย์สมบัติ อจโล นายสงวน เติมวิวัฒน์ นายประสิทธิ์ วัชรพงศ์วานิช) ดูวัดถ้ำขามพร้อมทั้งบอกว่าหลวงปู่เทศน์ท่านอยู่โน่น และท่านยังบอกถึงทางไปวัดป่าโสตถิผล ของหลวงปู่บุญหนา ธัมมทินโน ซึ่งเป็นครูบาอาจารย์สายหลวงปู่มั่นอีกองค์ที่หลวงตาพวงท่านได้นิมนต์ไว้ให้ลงมาโปรดญาติโยมที่กรุงเทพฯต่อจากท่าน และยังบอกเล่าถึงสถานที่ที่สำคัญอีกหลายแห่งในบริเวณดังกล่าว ให้ลูกศิษย์ ที่อยู่ในรถฟัง
การไปกราบหลวงปู่มั่นและหลวงปู่ฝั้นครั้งนี้ เสมือนกับการไปกราบลาครูบาอาจาย์ครั้งสุดท้าย คล้ายกับการจาริกครั้งสุดท้ายของหลวงปู่เสาร์ ที่เมืองจำปาศักดิ์ ซึ่งทั้งสองเหตุการณ์นั้นมีความเหมือนตรงที่ เป็นการเดินทางในช่วงสุดท้ายของชีวิต และยังเป็นการเดินทางที่เกิดจากความกตัญญูกตเวทีของพระอริยสงฆ์ที่มีต่อพ่อแม่ครูบาอาจารย์และผู้ที่มีบุญคุณทั้งหลาย หลวงปู่เสาร์ท่านไปเมืองจำปาศักดิ์ เพื่อจะบูรณะเจดีย์ของอุปัชฌาย์ของท่าน เช่นเดียวกันกับหลวงตาพวงที่ต้องการไปสงเคราะห์ชาวบ้านท่าสองคอน และไปกราบลาหลวงปู่มั่นและหลวงปู่ฝั้นครั้งเป็นครั้งสุดท้าย
เมื่อเดินทางไปถึงวัดศิริดำรงวนาราม ประมาณ 15:00 น. ของวันที่ 28 มีนาคม 2552 หลวงตาได้ขึ้นไปนั่งพักบนศาลา ให้พระและญาติโยมที่มาร่วมงานได้มากราบ ท่านได้สนทนากับเจ้าอาวาสและญาติโยมสักพัก แล้วท่านได้เข้าไปพักที่ห้องเก็บของภายในศาลาวัด อันที่จริงแล้วทางวัดได้จัดเตรียมให้ท่านพักที่กุฏิข้างหลัง ท่านยังบอกว่าจะพักตรงนี้จะได้เห็นคณะลูกศิษย์ได้แจกทานให้กับชาวบ้านตามเจตนารมณ์ของท่านที่ต้องการจะมาสงเคราะห์ญาติโยมที่นี่
หลังจากนั้นท่านได้ให้คณะลูกศิษย์ซึ่งนำโดยคุณอมรา พวงชมภู คุณสงวน เติมวิวัฒน์ คุณวิสุทธิ์ ธรรมวิริยะวงศ์ และคุณช่อเอื้อง ชินกังสดาร แจกข้าวของต่างๆให้กับชาวบ้านท่าสองคอน ตามความประสงค์ของท่าน ระหว่างนั้น คณะแพทย์ที่ติดตามก็ได้ประสานงานกับโรงพยาบาลพระอาจารย์ฝั้น เพื่อของรถพยาบาลและอุปกรณ์ที่จำเป็นมาเตรียมไว้ อีกทั้งมีคุณหมออุษนา เซียนมงคล แพทย์ด้านอายุรกรรมจากโรงพยาบาลยโสธรได้เดินทางมาด้วย จึงได้ร่วมกันประเมินอาการท่านอีกครั้ง ก็พบว่าท่านมีอาการอ่อนเพลียบ้าง แต่อย่างอื่นอยู่ในเกณฑ์ดี มีอาการขาดน้ำเพียงเล็กน้อย และได้ถวายยาแก้ปวดและยาแก้อาเจียนให้ท่านพิจารณาอีกครั้ง ระหว่างนั้นท่านก็ได้เรียกพระอาจารย์ธีรวุฒิ สุเมโธ พระเลขานุการของท่าน เข้ามาเพื่อสั่งงานต่างๆ รวมทั้งท่านได้สั่งให้ดูแลการก่อสร้างโบสถ์วัดนี้ให้เป็นที่เรียบร้อย
ในช่วงเย็นของวันที่ 28 มีนาคม 2552 หลวงปู่บุญหนา ธัมมทินโน ได้เดินทางมาถึงวัดศิริดำรงวนาราม เพื่อทำวัตรเย็น หลวงปู่บุญหนายังได้เข้าไปกราบหลวงตาพวง สนทนากับหลวงตาพวงสักครู่ หลวงปู่บุญหนาท่านยังพูดว่า “แม้สังขารท่านไม่ให้ แต่หัวใจท่านเต็มร้อย ท่านก็ยังมีเมตตามางานในครั้งนี้” ระหว่างนั้นช่างทำมุ้งลวดได้เข้ามาติดมุ้งลวด ผู้เขียนจึงได้นิมนต์ท่านไปพักข้างนอก แต่ท่านบอกว่า “ไม่เป็นไร ให้ช่างติดไปเลย และจะนอนแผ่เมตตาอยู่ตรงนี้” หลังจากนั้นได้เริ่มพิธีสวดมนตร์ทำวัตรเย็น ซึ่งในช่วงนั้นหลวงตาพวงท่านได้เรียกให้นำวัตถุมงคลทั้งหมดเข้าไปในห้องท่านเพื่ออธิษฐาน เมื่อเสร็จพิธีทำวัตรเย็น หลวงตาพวงท่านอยู่ในท่านอนนิ่ง ตะแคงข้างขวา คล้ายกับท่านอนแบบไสยาสน์ คณะลูกศิษย์จึงพยายามไม่รบกวนท่าน เพื่อให้ท่านได้พัก และได้จัดพยาบาลเวรดูแลท่านตลอดเวลา
ทุกอย่างดูเหมือนเป็นปกติ ทางวัดได้เปิดเพลงหมอลำ “ประวัติเมืองเวียงจันทน์” ซึ่งหลวงตาพวงท่านให้เตรียมมาเอง จนกระทั่งเวลา 02:00 น.ของวันที่ 29 มีนาคม 2552 คุณพงษ์สิทธิ สุขสมกิจ พยาบาลที่เฝ้าหลวงตา สังเกตุว่าหลวงตาเริ่มมีอาการหอบ และต่อมาและเริ่มอาการเขียวที่ปลายมือปลายเท้า มีอาการอาเจียน จึงได้ตามผู้เขียนและทีมพยาบาลที่ประกอบด้วย คุณนาถฤดี สุลีสถิร คุณนันทิยา ภูมิแสน คุณพิมพ์พิชฌา ไตยพันธ์ คุณภารดี ชูรัตน์ และคุณนีธรา ต้นคำ และอีกหลายท่านที่ไม่ได้กล่าวถึง จึงได้พยายามให้ออกซิเจนและน้ำเกลือ พร้อมกับส่งตัวหลวงตามารักษาต่อที่โรงพยาบาลพระอาจารย์ฝั้นทันที
หลวงตาพวงท่านมีอาการค่อนข้างหนัก ความดันตก ชีพจรเต้นเร็ว และหัวใจที่เต้นผิดปกติ คณะแพทย์ได้พิจารณาใส่ท่อช่วยหายใจ ให้ยาเพิ่มความดันแล้ว แล้วส่งต่อมาที่โรงพยาบาลสกลนคร ตามลำดับ เมื่อมาถึงโรงพยาบาลสกลนคร ขณะนั้นยังไม่มีเตียงในห้องผู้ป่วยวิกฤต จึงนิมนต์ท่านไปพักที่ตึกสงฆ์อาพาธของโรงพยาบาลสกลนคร หลวงปู่สรวง สิริปุณโณ น้องชายแท้ๆของท่านได้มาตามมาเยี่ยมในช่วงเช้าตรู่ หลวงปู่สรวงยังบอกว่า “หลวงตาพวงท่านมาฉลองโรงพยาบาลให้ครูบาอาจารย์ของท่าน เพราะทั้งโรงพยาบาลพระอาจารย์ฝั้นและตึกสงฆ์แห่งนี้ หลวงปู่ฝั้น อาจาโร ท่านเป็นผู้สร้างไว้” ทั้งยังมีรูปของหลวงปู่ฝั้น ยืนถือไม้เท้า เด่น สง่าอยู่ตรงนั้น
หลวงปู่สรวงยังได้เล่าถึงนิมิตต์ของท่าน เมื่อคืนวันที่ 26 มีนาคม 2552 ว่าท่านเห็นทางไปบ้านท่าสองคอนนั้นมีโยมเดินทางมาจากทั่วทุกสารทิศ จนมืดฟ้ามัวดิน ไม่มีทางจะไป โยมเดินทางเพื่อมาอนุโมทนาบุญในการทอดผ้าป่าครั้งนี้ และเป็นสาเหตุสำคัญที่ไม่ว่าอย่างไร หลวงตาพวงท่านก็ต้องไป ทั้งทั้งที่หลวงปู่สรวง คณะแพทย์และบรรดาลูกศิษย์ ได้พยายามห้ามปรามหลายครั้งว่าไม่ให้มา เพราะเป็นการเดินทางไกลและอากาศก็ร้อนมาก แต่หลวงตาพวงได้ตอบหลวงปู่สรวงและบรรดาลูกศิษย์ว่า “อย่างไรก็จะไป ลมไม่ขาดจากหัวใจก็จะไปอย่างแน่นอน แม้จะต้องคลานไปก็จะไป หัวใจเต็มร้อย ถึงแม้จะตายก็ไม่เสียดาย และก็จะไปเทศน์ที่นั่น ได้เทศน์หนึ่งคำก็เอา” หลวงตาพวงท่านว่าอย่างนั้น ลูกศิษย์ทั้งหลายก็ได้ทำตามเจตนารมณ์ของท่าน นี่แสดงให้เห็นถึงสัจจวาจาที่ลั่นไว้ แม้สังขารร่างหกายจะเป็นอย่างไร ก็มิได้มีความหมาย สิ่งสำคัญคือสัจจะวาจาที่กล่าวไว้แล้ว นั่นเอง
ต่อมาเวลา 10:00 น. วันที่ 29 มีนาคม 2552 ได้ย้ายท่านเข้าไปรับการรักษาในห้องผู้ป่วยวิกฤต สักพักหลวงปู่อุ่นหล้า ฐิตธัมโม วัดป่าแก้วชุมพล ซึ่งเป็นคนบ้านศรีฐาน บ้านเดียวกับหลวงตาพวงได้มากราบท่าน ระหว่างนั้นอาการของหลวงตาพวงเริ่มคงที่ และทีมงานได้ประสานงานกับโรงพยาบาลยโสธร เพื่อเตรียมรับตัวท่านกลับไปที่โรงพยาบาลยโสธรในเช้าวันรุ่งขึ้น
เวลาประมาณเวลา 15:00 น. มีลูกศิษย์ใกล้ชิดของหลวงปู่อว้าน เขมโก วัดป่านาคนิมิตต์ อ.โคกศรีสุพรรณ จ.สกลนคร โทรมาบอกว่า หลวงปู่อว้านท่านจะมากราบหลวงตาพวง และให้ผู้เขียนอยู่รอพบจนกระทั่งเวลา 18:00 น.หลวงปู่อว้านได้เดินทางมาถึง ผู้เขียนได้นำท่านไปกราบหลวงตาพวง และท่านได้ถามไถ่ถึงความเป็นมา ต่อจากนั้นหลวงปู่อว้านท่านก็ถามว่า “ลองดูสีหน้าของหลวงตาพวงซิ เปลี่ยนสีไหม?” ผู้เขียนได้พิจารณาแล้วตอบว่า “เปลี่ยนครับ” ซึ่งสีหน้าของท่านซีดลง และออกสีเหลืองจริงๆ
หลวงปู่อว้านท่านได้ถามต่อว่า “จะทำอย่างไรต่อ” จึงได้กราบรียนไปว่าจะนิมนต์ท่านกลับยโสธรพรุ่งนี้เช้า หลวงปู่อว้านท่านตอบว่า “ไม่ทัน” จึงได้เรียนถามต่อว่า “ถ้าเช่นนั้น นิมนต์ท่านกลับตอนนี้จะท่านหรือไม่” ท่านนิ่งเงียบเล็กน้อยแล้วก็บอกว่า “ยังพอมีเวลา” และท่านก็ลากลับ ก่อนกลับ หลวงปู่อว้านได้ก้มลงกราบหลวงตาพวงแบบเบญจางคประดิษย์ 3 ครั้ง ลงกับพื้นโรงพยาบาล หลวงปู่อว้านท่านได้แสดงให้เห็นถึงความเคารพที่มีต่อครูบาอาจารย์ด้วยกัน แม้นว่าทั้งสององค์จะไม่เคยรู้จักกันและพบกันมาก่อนก็ตาม ก่อนหลวงปู่อว้านจะกลับ ผู้เขียนได้กราบเรียนขอบารมีท่านเพื่อให้นิมนต์ท่านกลับยโสธรได้อย่างสวัสดิภาพ ท่านก็พยักหน้า มองด้วยความเมตตาและตอบว่า “ท่านจะช่วยอีกแรง” ลูกศิษย์ใกล้ชิดเล่าให้ฟังว่า เมื่อหลวงปู่อว้านกลับถึงวัด ท่านได้เข้าห้องเพื่อเจริญสมาธิทันที
ไม่เพียงเท่านั้นในวันต่อมา หลวงปู่อว้านยังฝากมาบอกบรรดาลูกศิษย์ของหลวงตาพวงว่าอีกว่า “อยู่ที่เมตตาของหลวงตาพวงว่าท่านจะกลับมาหรือไม่ ให้ลูกศิษย์พากันนั่งสมาธิ สวดมนต์ และพิจารณาธาตุขันธ์ ดิน น้ำ ไฟ ลม เหตุเกิดที่ไหน ให้ดับที่นั่น อย่างไรก็ตามถ้าสุดวิสัยของสังขาร ท่านก็คงต้องละ” และท่านก็ยังฝากบอกบรรดาแพทย์ที่ดูแลท่านว่า “การให้อาหาร ไม่ว่าจะเป็นทางไหนก็ตาม ขอให้พวกเราทำให้ถูกต้องตามพระวินัย คือให้ก่อนเพล หลังจากเพลไม่ควรให้ เพราะจะทำให้จิตของท่านเศร้าหมอง เพราะตลอดชีวิตของพระอริยสงฆ์ท่านไม่ทำผิดศีล ท่านรักษาศีลยิ่งกว่าชีวิต ดังนั้นคณะแพทย์อย่าทำให้จิตใจของท่านเศร้าหมอง”
จากนั้น คณะแพทย์พยาบาลที่ติดตามจึงได้นิมนต์หลวงตาพวง กลับยโสธรในคืนนั้นทันที ท่ามกลางความแปลกใจของชาวยโสธร
หลังจากที่หลวงปู่อว้าน เขมโก แห่งวัดป่านาคนิมิตต์ จ.สกลนคร ได้เมตตาชี้แนะให้นิมนต์หลวงตาพวงกลับยโสธร คณะแพทย์และพยาบาลที่ติดตามจึงนิมนต์หลวงตาพวงกลับไปรักษาต่อที่โรงพยาบาลยโสธรทันที การเดินทางครั้งนี้สร้างความกังวลและความหนักใจให้กับพวกเรายิ่งนัก เพราะด้วยอาการของหลวงตายังไม่คงที่ มีปัญหาเรื่องหัวใจเต้นไม่ปกติ ความดันโลหิตต่ำ หากมีเหตุใดใดเกิดขึ้นคงลำบากไม่ใช่น้อย ได้แต่ขอบารมีหลวงตาพวง รวมทั้งสิ่งศักสิทธิ์ทั้งหลายให้เดินทางโดยสวัสดิภาพ
ก่อนการเดินทาง คุณช่อเอื้อง ชินกังสดาร ได้ประสานกับคุณอดิศร พวงชมภู เพื่อขอรถตำรวจทางหลวงเพื่ออำนวยความสะดวกในการเดินทาง ใช้เวลาไม่ถึง 10 นาที ร้อยเวรก็มาถึงและประสานงานการเดินทางต่างๆเป็นไปอย่างราบรื่น เมื่อนิมนต์หลวงตาขึ้นรถพยาบาลได้มีญาติโยมเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลที่มีศรัทธาในองค์หลวงตาได้มาส่งเป็นจำนวนมาก คณะแพทย์และพยาบาลที่ไปกับหลวงตาก็ได้ตั้งจิตอธิษฐานพร้อมกันขอให้การเดินทางครั้งนี้เป็นไปด้วยความราบรื่น เพราะทุกคนล้วนมีความรู้สึกตรงกันว่า แม้จะเป็นการเดินทางเพียง 3 ชั่วโมง แต่นับเป็น 3 ชั่วโมงที่ยาวนานที่สุดในชีวิตของทุกคนในวันนั้น
เส้นทางการเดินทางนั้นใช้เส้นทางเดิมในช่วงขามา จากสกลนคร ผ่าน อ.โคกศรีสุพรรณ สี่แยกบ้านต้อง ไปทาง จ.มุกดาหาร ญาติโยมที่ จ. มุกดาหารเล่าให้ฟังตอนหลังอย่างเป็นที่อัศจรรย์ว่า ช่วงที่รถพยาบาลเดินทางเข้าสู่ จ.มุกดาหารนั้นเกิดมีลมแรงขึ้นมาอย่างมืดฟ้ามัวดิน ผิดปกติยิ่งนัก เพราะก่อนหน้านี้ไม่ได้มีเค้าลางใดๆที่บอกว่าฝนจะตก พอองค์หลวงตาเคลื่อนผ่าน จ.มุกดาหารเท่านั้นลมที่พัดกรรโชกอย่างแรงก็สงบลงเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นที่อัศจรรย์ใจกับลูกศิษย์ที่อยู่ในจังหวัดมุกดาหารเป็นอย่างยิ่ง
ระหว่างการเดินทางถึงแม้หลวงตาจะใส่เครื่องช่วยหายใจ แต่สิ่งหนึ่งที่พวกเรารับรู้ได้ก็คือหลวงตาท่านมีสติรู้ตัวตลอดเวลา ระหว่างเดินทางก็ได้กราบเรียนท่านเป็นระยะๆว่าได้เดินทางถึงช่วงไหน ซึ่งท่านก็ดูเหมือนจะรับรู้ตลอดเวลา การเดินทางเป็นไปอย่างราบรื่น จนถึงโรงพยาบาลยโสธร เวลา 23:10 น. ของวันที่ 29 มีนาคม 2552 โดยมี นพ. อดิเกียรติ เอี่ยมวรนิรันดร์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลยโสธร นพ.ยุทธชัย ตริสกุล รองผู้อำนวยการโรงพยาบาลยโสธร ได้เตรียมความพร้อมต่างๆไว้รอรับ มีนพ.สันติ ประวิทย์ธนา พญ.อุษนา เซียนมงคล พญ.ธิดา ยุคันตวรานันท์ นพ.ปิยะ เล็บขาว เป็นคณะแพทย์เจ้าของไข้ เป็นที่โล่งใจของทีมแพทย์และพยาบาลที่มากับหลวงตายิ่งนัก เพราะในที่สุดได้พาหลวงตากลับบ้าน ให้ญาติโยมชาวยโสธรมีโอกาสกราบท่านเป็นครั้งสุดท้าย
ระหว่างที่อยู่โรงพยาบาลยโสธรนั้น ผู้เขียนจำได้ถึงประวัติการอาพาธหนักของหลวงปู่ขาว อนาลโย ที่นพ.อวย เกตุสิงห์ แพทย์ผู้ดูแลได้บันทึกวิธีการรักษาไว้ จึงได้ขอให้คุณภัทระ คำพิทักษ์ ได้ช่วยค้นหาหนังสือดังกล่าวและฝากให้ช่วยเรียนถามครูบาอาจารย์ถึงเหตุการณ์ในช่วงนั้นว่าเป็นอย่างไร คุณภัทระ ก็ได้ส่งรายละเอียดมาให้ในช่วงบ่าย ทันทีที่เห็นรูปปกหนังสือที่ส่งมา ผู้เขียนจำได้ทันทีว่า ก่อนย้ายองค์หลวงตาจากโรงพยาบาลสกลนครนั้น มีพี่พยาบาลที่โรงพยาบาลสกลนคร ได้ให้หนังสือเล่มนี้กับพยาบาลคนหนึ่งในทีมของเราที่มากับหลวงตา เป็นที่อัศจรรย์ยิ่งนัก เหมือนกับจะรู้ว่าคณะแพทย์ที่ยโสธรอาจจะต้องใช้หนังสือเล่มนี้ในการดูแลหลวงตาในเวลาต่อมา
หลักการรักษาหลวงปู่ขาว อนาลโยที่นพ.อวย เกตุสิงห์ ได้บันทึกไว้มีดังนี้ 1) หลวงปู่ขาวท่านเป็นคนแก่ อายุเก้าสิบกว่าร่างกายทรุดโทรมเกินกว่าจะเข็นให้กลับ ดังนั้นควรจะ รักษาสภาพปัจจุบัน ให้คงอยู่ด้วยการประคับประคอง ด้วยยาและอาหารป้องกันโรคแทรกซึ่งจะทำให้สภาพเลวลง 2) หลวงปู่ขาวเป็นพระกัมมัฏฐาน บวชมากว่า 60 ปีแล้วและฉันอาหารมื้อเดียว ร่างกายเข้าสภาพคงตัว การรักษามุ่งที่จะรักษาสภาพคงตัวนี้ไว้ ไม่พยายามรบกวนให้ยุ่งเหยิง และ 3) หลวงปู่ขาวท่านเป็นพระอริยบุคคล ท่านมีอำนาจเหนือร่างกายของท่านในบางแง่ โดยเฉพาะเวลาที่ร่างกายปกติ แต่ถ้าร่างกายผิดปกติมาก ท่านก็อาจควบคุมไม่ได้ การรักษามุ่งให้ท่านแก้ไขสภาพไม่ปกติในร่างกายของท่านด้วยตนเอง จึงมุ่งใช้ยาเท่าที่จำเป็นและในขนาดเบาเพื่อไม่ให้รบกวนร่างกายมากเกินไป จนท่านมิอาจบังคับได้ด้วยอำนาจจิต
คณะแพทย์ที่ทำการรักษาก็ได้พยายามใช้แนวทางการรักษานี้มาปรับใช้กับองค์หลวงตาพวง แต่ทว่าองค์หลวงตาท่านมีอาการค่อนข้างหนัก ถึงแม้ในอาการของท่านจะมีแนวโน้มดีขึ้นบ้าง จนสามารถเอาท่อช่วยหายใจออกได้ในวันที่ 31 มีนาคม 2552 แต่คณะแพทย์เองก็มิได้วางใจ
ในส่วนของญาติโยมนั้น ชมรมจริยธรรม โรงพยาบาลยโสธร โดยมีคุณหมอเทียนชัย ชินกังสดารได้เป็นหัวแรงใหญ่ ได้พาคณะศิษยานุศิษย์ทั้งหลายสวดมนตร์ทำวัตรเช้าเย็น นั่งสมาธิ ถวายแด่หลวงตาเป็นประจำทุกวัน ญาติโยม คณะศิษยานุศิษย์ทั้งใกล้ไกลที่รู้ข่าวการอาพาธได้มากราบและติดตามอาการหลวงปู่อย่างต่อเนื่อง ลูกศิษย์ใกล้ชิดทั้งหลาย อาทิ คุณบุญกอง ศรีชนะและภรรยา คุณวิบูลย์ จริยานันทศักดิ์ (เสี่ยฮั่ง) คุณศิริชัย แต้ศิริ (เสี่ยหมง) และลูกศิษย์ที่เป็นพยาบาลและเจ้าหน้าที่ โรงพยาบาลยโสธร ก็มาดูแลหลวงตาอย่างใกล้ชิดทุกวันมิได้ขาด
หลวงปู่สรวง สิริปุณโณ น้องชายแท้ๆของท่านก็ได้มาดูแลอาการหลวงตาเป็นประจำ ผู้เขียนยังได้เรียนถามว่า ในนิมิตที่หลวงปู่สรวงเห็นครั้งนั้นมีเหตุการณ์ที่สำคัญอะไรอีกหรือไม่ ท่านไม่ตอบ และยังบอกกับผู้เขียนซึ่งที่แรกจะขอลากลับไปทำงานที่กรุงเทพฯ เพราะเห็นว่าอาการของหลวงตาเริ่มดีขึ้นเป็นลำดับว่า “ถ้าหากไม่มีธุระจำเป็นจริง ให้อยู่เสียก่อน อย่าพึ่งไปไหน” นี่คงเป็นความนัย เสมือนจะมีเหตุการณ์ที่สำคัญเกิดขึ้นในไม่ช้า
ช่วงบ่ายวันที่ 31 มีนาคม 2552 คุณอมรา พวงชมภู ได้ปรึกษาหารือกับผู้เขียนถึงเรื่องตึกสงฆ์อาพาธ เพราะที่โรงพยาบาลยโสธร มีสถานที่คับแคบไม่เพียงพอที่จะเป็นที่พักของสงฆ์และผู้ป่วยทั่วไป คุณอมรา และคณะลูกศิษย์ใกล้ชิดจึงได้ชวนเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลยโสธร เดินสำรวจสถานที่รอบๆโรงพยาบาล เผื่อว่าจะได้ชักชวนผู้ที่ศรัทธาในองค์หลวงตาทั้งหลายได้ร่วมกันสร้างตึกผู้ป่วยถวายแด่องค์หลวงตา เพื่อให้เป็นประโยชน์กับชาวยโสธร สืบไปภายภาคหน้า เพราะทุกคนก็ล้วนแต่คิดว่าหลวงตาจะหายกลับมาเป็นปกติเช่นเดิม
ช่วงเย็นวันที่ 1 เมษายน 2552 คุณพงษ์สิทธิ สุขสมกิจ พยาบาลที่ดูแลได้ออกมาบอกว่า หลวงตาเรียกหาหลวงปู่สรวง สิริปุณโณ พระอาจารย์ธีรวุฒิ สุเมโธ คุณอมรา ชมภูพวง คุณช่อเอื้อง ชินกังสดาร ผู้เขียนและลูกศิษย์ใกล้ชิดอีกจำนวนหนึ่ง เพื่อสั่งงานบางอย่าง หลังจากนั้นไม่นานนักหลวงตาเริ่มมีอาการหายใจหอบเหนื่อยมากขึ้น คณะแพทย์ต้องพิจารณาใส่ท่อช่วยหายใจอีกครั้ง ครั้งนี้สร้างความกังวลให้กับคณะแพทย์ที่ดูแลและบรรดาลูกศิษย์ใกล้ชิดยิ่งนัก
เวลา 01:30 น. วันที่ 2 เมษายน 2552 พยาบาลเวรได้ตามผู้เขียนมาดูอาการหลวงตาอีกครั้ง เพราะหลวงตามีอาการหอบเหนื่อย ออกซิเจนในเลือดต่ำ มีไข้ขึ้นสูง จึงได้ตามคุณหมอธิดา ยุคันตวรานันท์ วิสัญญีแพทย์เพื่อมาปรับเครื่องช่วยหายใจอีกครั้ง จนกระทั่งเวลา 03:00 น. อาการทุกอย่างของหลวงตาดีขึ้น ไม่มีอาการหอบเหนื่อย หายใจได้เองตามจังหวะ ดูอาการสงบ แต่ความดันเริ่มลดต่ำลง ชีพจรเต้นช้าลง จนกระทั่งเวลา 04:15 น. ท่านมีอาการเหมือนหัวใจหยุดเต้นไปชั่วขณะ แพทย์ต้องเพิ่มยาขึ้นอีก จนหัวใจกลับมาเต้นเหมือนเดิม ระหว่างนั้นจึงได้ส่งข่าวให้หลวงปู่สรวง และลูกศิษย์ใกล้ชิดทั้งหลายทราบทันที
เวลา 08:00 น. วันที่ 2 เมษายน 2552 มีการสวดมนต์ทำวัตรเช้า หลวงตาเหมือนรู้สึกตัวและได้ยิน ความดันโลหิต ชีพจร รวมทั้งระดับออกซิเจนในเลือดกลับมาเป็นปกติ หลังจากนั้นไม่นาน ความดันโลหิตและชีพจร เริ่มลดลงตามลำดับ จนกระทั่งเวลา 09:40 น. หลวงปู่สรวงได้เข้ามากราบหลวงตาพวงอีกครั้งและได้บอกหลวงตาพวงในครั้งสุดท้ายว่า “ไม่ต้องเป็นห่วงอะไร ให้สบายใจทุกอย่าง สิ่งที่ยังคั่งค้าง หลวงปู่สรวงจะเป็นผู้สานต่อเอง อยู่ต่อไปก็มันทุกข์ทรมานมาก ทั้งทำความลำบากให้ลูกให้หลานด้วย” เวลานั้น ลมหายใจหลวงตาอ่อนลงมาก สังขารทุกอย่างของท่านสงบนิ่ง เหมือนเป็นปกติ
จนกระทั่งเวลา 10:20 น. ลมหายใจของท่านหมดลง เหลือเพียงแต่การทำงานของเครื่องช่วยหายใจเท่านั้น ในห้องเงียบสงบ ผู้เขียนได้ฟังจังหวะการเต้นของหัวใจของท่านอีกครั้ง ยังได้ยินเสียงการเต้นของหัวใจแต่เบามาก และช้าลงเป็นลำดับ เวลา 10:40 น. ยากระตุ้นหัวใจหมดลง หัวใจของท่านเต้นช้าลง ช้าลง เป็นลำดับ ในที่สุดเวลา 10:52 น. หัวใจของท่านหยุดเต้น พร้อมๆกับเสียงอุทานของบรรดาศิษยานุศิษย์ทั้งหลาย ในเวลานั้นว่า หลวงตาท่านละสังขาร จากเราไปแล้ว
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น